ภาคการผลิตไทยปลดล็อกศักยภาพ และรับมือความเสี่ยงด้วย AI

 

อุตสาหกรรมการผลิตถือเป็นกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของอาเซียนมาอย่างยาวนาน โดยมีส่วนช่วยกระตุ้นทั้งการเติบโตและนวัตกรรม ซึ่งคิดเป็น 16-27% ของ GDP ในหลายประเทศรวมถึงประเทศไทย ปัจจุบันประเทศไทยถูกจัดอยู่อันดับที่ 10 ในดัชนีภาคการผลิตเอเชียประจำปี 2568 ซึ่งสะท้อนภาพรวมที่มีทั้งโอกาสและความท้าทายโดยมีจุดแข็งในด้านโครงสร้างพื้นฐานและกระบวนการทางธุรกิจบางประเภท

 

เมื่ออุตสาหกรรมการผลิตของไทยเดินหน้าพัฒนาสู่ความทันสมัย ก็ย่อมต้องเผชิญอุปสรรคอันท้าทายและซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เพราะการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลได้เปลี่ยนรูปแบบการดำเนินงานไปอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพด้วยระบบอัตโนมัติ การใช้ IoT (Internet of Things) และการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและการพึ่งพาเทคโนโลยีเหล่านี้ส่งผลให้ภาคการผลิตต้องเผชิญกับภัยคุกคามทางไซเบอร์มากยิ่งขึ้น

 

การนำ AI มาใช้ในภาคการผลิตของไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วภายในปี 2573 โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักคือความจำเป็นในการเพิ่มประสิทธิภาพ และขีดความสามารถในการแข่งขัน แม้ว่าปัจจุบันจะมีเพียง 18% ของธุรกิจทั่วประเทศที่ใช้งาน AI แต่ภาคการผลิตก็ได้เริ่มหันมาใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะในด้านต่างๆ มากขึ้น เช่น การซ่อมบำรุงเชิงคาดการณ์ การควบคุมคุณภาพ และการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน

 

AI กำลังเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมการผลิตครั้งใหญ่ ทั้งในด้านกระบวนการอัตโนมัติ การเพิ่มประสิทธิภาพของสายการผลิต และการจัดการห่วงโซ่อุปทาน โดยสามารถวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์เพื่อคาดการณ์ความต้องการด้านการซ่อมบำรุง ลดเวลาหยุดชะงัก และเพิ่มผลผลิตในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นอกจากนี้ AI ยังสามารถยกระดับความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยตรวจจับและป้องกันการโจมตีได้รวดเร็วกว่าที่ผ่านๆ มา อย่างไรก็ตาม AI ก็เปรียบเสมือนดาบสองคม เพราะอาชญากรไซเบอร์เองก็ใช้เทคโนโลยีนี้ในการค้นหาและโจมตีช่องโหว่ในระบบเทคโนโลยีเชิงปฏิบัติการหรือระบบ OT ได้เช่นกัน

 

AI กับบทบาทการยกระดับด้านความปลอดภัย

 

AI ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือธรรมดาในด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ด้วยศักยภาพในการประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลแบบเรียลไทม์ มันจึงสามารถตรวจจับรูปแบบและความผิดปกติที่นักวิเคราะห์อาจมองข้ามได้อย่างง่ายดาย สำหรับภาคการผลิต นั่นหมายถึง AI สามารถตรวจพบภัยคุกคามได้ตั้งแต่ระยะแรก ก่อนที่ปัญหาจะลุกลาม จึงสร้างข้อได้เปรียบสำคัญในการปกป้องระบบเทคโนโลยีเชิงปฏิบัติการ (OT)

 

เป็นที่ทราบกันดีว่า ความเสี่ยงในเรื่องนี้มีสูงมาก เนื่องจากระบบ OT มีบทบาทสำคัญในการควบคุมทุกอย่างตั้งแต่สายการผลิตไปจนถึงโลจิสติกส์ในห่วงโซ่อุปทาน ดังนั้นการหยุดชะงักเพียงเล็กน้อยอาจทำให้ต้องหยุดการผลิตก่อให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจอย่างมหาศาล และในบางกรณีอาจกระทบต่อความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานด้วย นั่นทำให้การตรวจจับภัยคุกคามได้แต่เนิ่นๆ เป็นเรื่องจำเป็น ความเร็วและประสิทธิภาพของ AI คือข้อได้เปรียบสำคัญที่ภาคการผลิตต้องการ

 

แต่จุดที่มักถูกมองข้ามไปก็คือ แค่ติดตั้ง AI อย่างเดียวไม่พอ เพราะหากต้องการให้ AI ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพที่แท้จริง เราต้องจัดการกับอุปสรรคสำคัญที่พบได้บ่อย นั่นก็คือ ช่องว่างระหว่างทีม IT และทีม OT ซึ่งในอดีตมักทำงานแยกกัน แต่ละแผนกก็มีเป้าหมายและวิธีคิดที่ไม่เหมือนกันแผนก IT มักมุ่งเน้นความปลอดภัยของระบบทั้งองค์กร ส่วนแผนก OT ก็มักให้ความสำคัญกับการเดินเครื่องจักรให้ราบรื่นและไม่สะดุด ดังนั้น ความไม่สอดประสานกันนี้ก็อาจก่อให้เกิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัย จนทำให้ทั้งระบบตกอยู่ในความเสี่ยง

 

หากต้องการให้ AI แสดงศักยภาพด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ได้อย่างเต็มที่ ก็จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ที่ผสานกันระหว่างแผนก IT และ OT เมื่อทั้งสองแผนกทำงานประสานกันอย่างไร้รอยต่อก็จะสามารถสร้างแนวป้องกันที่มีประสิทธิภาพสูง และดึงความสามารถของ AI มาใช้ได้อย่างเต็มกำลังที่สุด

 

ลดความเสี่ยง: แนวทางการผสานรวม AI

 

AI มีศักยภาพมากจนไม่อาจมองข้าม ดังนั้นผู้ผลิตจึงควรมองหาวิธีใช้งาน AI อย่างมีประสิทธิภาพควบคู่ไปกับการลดความเสี่ยงให้น้อยที่สุด โดยมีหลักการสำคัญต่างๆ ดังนี้

 

  • ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างแผนก IT และ OT เพื่อร่วมกันรับผิดชอบด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ทำให้การใช้งาน AI เป็นไปในแนวทางเดียวกันและตัดสินใจด้านการรักษาความปลอดภัยได้อย่างชาญฉลาด
  • ยึดหลัก Zero Trust ที่ว่า “อย่าไว้ใจใคร ตรวจสอบทุกกรณี” และมีการตรวจสอบสิทธิ์ของผู้ใช้งาน อุปกรณ์ และการเชื่อมต่อต่างๆ โดยตลอด เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการโจมตีที่มี AI อยู่เบื้องหลัง
  • ประเมินและอัปเดตเครื่องมือระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ที่ใช้ AI เป็นประจำ เพื่อให้สามารถรับมือกับภัยคุกคามยุคใหม่และกลยุทธ์การโจมตีที่ซับซ้อนมากขึ้นของอาชญากรไซเบอร์ในปัจจุบัน

 

อนาคตของภาคการผลิตไทย

 

เมื่อมองไปข้างหน้า อนาคตของภาคอุตสาหกรรมการผลิตของไทยขึ้นอยู่กับความสามารถในการผสานเทคโนโลยีเกิดใหม่อย่าง AI เข้ากับกลยุทธ์ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์อย่างมีประสิทธิภาพ โดย AI กำลังกลายเป็นกลไกหลักในการเพิ่มผลิตภาพและประสิทธิภาพการดำเนินงาน แต่ในขณะเดียวกัน ก็เปิดช่องให้ภัยคุกคามทางไซเบอร์ใหม่ๆ โดยเฉพาะในระบบอุตสาหกรรมที่เชื่อมต่อถึงกันมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ผู้ผลิตในไทยจำเป็นต้องใช้แนวทางที่สมดุล โดยผสานเครื่องมือรักษาความปลอดภัยที่ใช้ AI เข้ากับการทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบระหว่างแผนก IT และ OT พร้อมการยึดหลัก Zero Trust อย่างเข้มงวด ทั้งนี้ท่าทีของภาครัฐในการผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลควบคู่กับแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (พ.ศ. 2565-2570) ก็เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการพัฒนานวัตกรรมควบคู่ไปกับการควบคุมความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เข้มแข็ง อีกทั้งเพื่อให้การทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ภาคอุตสาหกรรมจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการวางมาตรการความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เข้มงวด การลงทุนพัฒนาทักษะแรงงานโดยเฉพาะในด้าน AI และความปลอดภัยทางไซเบอร์ รวมถึงการปรับตัวให้สอดคล้องกับกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ หากสามารถดำเนินการตามแนวทางเหล่านี้ได้สำเร็จ อุตสาหกรรมการผลิตของไทยจะไม่เพียงแค่สามารถรับมือกับความเสี่ยงทางไซเบอร์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเท่านั้น แต่ยังสามารถเติบโตและแข่งขันในเวทีโลกบนพื้นฐานของนวัตกรรมได้อย่างมั่นคงอีกด้วย

 

โดย: สตีเวน เชอร์แมน รองประธานประจำภูมิภาคอาเซียนของพาโล อัลโต้ เน็ตเวิร์กส์

#FOLLOW US ON INSTAGRAM