3 ปี มาตรการ LTR Visa ดึงต่างชาติคุณภาพสูงกว่า 7 พันคน เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจไทยกว่า 2 หมื่นล้านบาท

 

 


บีโอไอ เผยผลสำเร็จมาตรการ 
LTR Visa ครบ 3 ปี ดึงบุคลากรต่างชาติคุณภาพสูงเข้าไทยกว่า 7,000 คน ทั้งจากยุโรป อเมริกา และเอเชีย สร้างมูลค่าเพิ่มเศรษฐกิจไทยกว่า 23,000 ล้านบาท เตรียมบูรณาการระบบ e-Service ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยกระดับการให้บริการครบวงจร ณ จุดเดียว รองรับคลื่นการลงทุนที่จะเข้ามาตั้งฐานอุตสาหกรรมใหม่ในประเทศไทย

 

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ตามที่บีโอไอได้ดำเนินการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน โดยการดึงดูดบุคลากรคุณภาพสูงเข้าสู่ประเทศไทย ผ่านมาตรการวีซ่าชนิดพิเศษ “Long-Term Resident Visa (LTR Visa)” สำหรับชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูง 4 กลุ่ม ได้แก่ 1) ผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ (Highly Skilled Professionals) 2) ผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานจากประเทศไทยให้กับนายจ้างในต่างประเทศ (Work-from-Thailand Professionals) 3) ผู้ที่มีความมั่งคั่งสูง (Wealthy Global Citizen) และ 4) ผู้เกษียณอายุ (Wealthy Pensioners) โดยประกาศใช้เมื่อวันที่ กันยายน 2565 เป็นต้นมา ปัจจุบันมีผู้ได้รับอนุมัติ LTR Visa รวมกว่า 7,000 คน จากทั้งกลุ่มยุโรป (ร้อยละ 42) สหรัฐอเมริกา (ร้อยละ 19) และเอเชีย อาทิ ญี่ปุ่น (ร้อยละ 9) จีน (ร้อยละ 5) และอินเดีย (ร้อยละ 4) สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจกว่า 23,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเม็ดเงินจาก 4 ช่องทางหลัก ได้แก่ ค่าธรรมเนียมวีซ่า ประมาณการค่าใช้จ่ายในประเทศไทยของผู้ถือวีซ่า การลงทุนโดยตรง และรายได้ภาษีจากผู้เชี่ยวชาญทักษะสูง

 

เมื่อเดือนมกราคม 2568 ที่ผ่านมา บีโอไอได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ให้ปรับปรุงมาตรการ LTR Visa โดยปรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขสำหรับกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความน่าดึงดูดของมาตรการ และสามารถเข้าถึงกลุ่ม Talent ได้กว้างขวางยิ่งขึ้น รวมทั้งขยายขอบเขตให้ครอบคลุมถึงอาจารย์ชาวต่างชาติ

 

ในสถาบันการศึกษาและอาชีวศึกษาในสาขาต่าง ๆ เพื่อเร่งยกระดับขีดความสามารถของบุคลากรไทยรองรับคลื่นการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ ส่งผลให้คำขอกลุ่มผู้ที่มีความมั่งคั่งสูงเพิ่มขึ้นเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ช่วยเพิ่มการลงทุนในประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนกลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ และผู้เกษียณอายุยังเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานจากประเทศไทยให้กับนายจ้างในต่างประเทศชะลอตัวลงตามเทรนด์ของโลกหลังโควิดที่สถานการณ์การทำงานเข้าสู่ภาวะปกติ

 

“ท่ามกลางความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงของโลกการค้ายุคใหม่ ประเทศไทยยังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุนและกลุ่ม Talent จากทั่วโลก ที่เข้ามาขอรับสิทธิตามมาตรการ LTR Visa เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังจากปรับหลักเกณฑ์ใหม่ให้ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุดมากขึ้น มาตรการ LTR Visa เข้ามาช่วยเพิ่มจุดแข็งของไทยในการเป็นจุดหมายปลายทางของนักลงทุนและบุคลากรคุณภาพสูงจากทั่วโลก อีกทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากบุคลากรต่างชาติเหล่านี้จะช่วยยกระดับขีดความสามารถของบุคลากรไทยให้สามารถรองรับอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ที่กำลังเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ดาต้าเซ็นเตอร์และเทคโนโลยี AI ยานยนต์ไฟฟ้า เทคโนโลยีชีวภาพ ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ ช่วยให้เกิดเม็ดเงินลงทุนและสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย” นายนฤตม์ กล่าว

 

นอกจากนี้ บีโอไอมีแผนยกระดับ LTR Visa เพื่อให้บริการแบบครบวงจร (End-to-End Service) โดยเชื่อมต่อกับระบบอิเล็กทรอนิกส์ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบ e-Visa ระบบออกใบอนุญาตทำงานอิเล็กทรอนิกส์ของกรมจัดหางาน และสามารถจ่ายเงินในรูปแบบ e-Payment ได้ด้วย การเชื่อมต่อกับระบบงานของกรมสรรพากรสำหรับผู้ที่ต้องการใช้สิทธิประโยชน์ด้านภาษี ตลอดจนการเชื่อมต่อกับบริษัทตัวแทนที่ได้รับการรับรองจากบีโอไอในการให้บริการวีซ่า

 

ทั้งนี้ เมื่อเดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา บีโอไอได้เปิดให้บริการ “ศูนย์บริการนักลงทุนและบุคลากรต่างชาติ (Thailand Investment and Expat Services Center: TIESC)” แห่งใหม่ บนชั้น และ ชั้น ของโครงการ One Bangkok โซน PARADE ถนนพระราม กรุงเทพฯ เพื่อรองรับนักธุรกิจและนักลงทุนที่เข้ามาใช้บริการมากขึ้น  โดยรวมบริการของศูนย์ประสานการบริการด้านการลงทุน (One Start One Stop Investment Center: OSOS) และศูนย์บริการวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน (One Stop Service for Visa and Work Permit) ทั้งกลุ่มต่างชาติที่เข้ามาทำงานภายใต้กิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI Visa) วีซ่าระยะยาว (LTR Visa) และ Smart Visa สำหรับสตาร์ตอัปมาไว้ ณ จุดเดียว เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนอย่างครบวงจร

#FOLLOW US ON INSTAGRAM