อากาศยานไร้คนขับ…ฝีมือคนไทยพร้อมเข้าสู่สายการผลิตในเชิงพาณิชย์

MARCUS-B เป็นความร่วมมือระหว่างนักวิจัยของ ทร. กับ SDT Composites และ Oceanus R&D เป็นอากาศยานไร้คนขับแบบปีกนิ่งขึ้นลงทางดิ่ง ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขึ้นลงทางดิ่ง ใช้ได้ทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์น้ำมันเชื้อเพลิงในการบินเดินทาง มีน้ำหนักขึ้นบินประมาณ 50 กก. ความเร็วเดินทางปกติในระหว่าง 90-100 กม./ชม. ใช้วัสดุแบบ Pre-Preg Carbon Fiber ทั้งลำ ซึ่งข้อได้เปรียบของ MARCUS-B นั้น ด้วยความที่โครงสร้างและรูปทรงตามที่ได้ออกแบบไว้ จะสามารถแบกรับน้ำหนักสูงสุดได้ไม่ต่ำกว่า 60 กก. นั่นหมายว่า จริง ๆ แล้ว MARCUS-B จะมิได้เป็นเพียงอากาศยานไร้คนขับสำหรับติดตั้งกล้องตรวจการณ์เพื่อภารกิจลาดตระเวนเท่านั้น หากแต่ยังไม่ความอ่อนตัวที่สามารถติดตั้ง Payload เพื่อภารกิจที่หลากหลาย แม้แต่การติดอาวุธก็ตาม ซึ่งการดัดแปลงโครงสร้างเพื่อติดตั้งสัมภาระที่แตกต่างกันนั้น มิได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด เนื่องด้วยแบบโครงสร้างและการประกอบทุกชิ้นส่วนนั้น ถูกทำขึ้นมาโดยความคิด ฝีมือ และน้ำพักน้ำแรงของทีมงานคนไทยทั้งหมด
MARCUS ลำแรกได้รับสนับสนุนทุนวิจัยจาก สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ใช้เวลาดำเนินการวิจัยในระหว่าง 2562-2563 โดยในห้วง 2564 ได้มีการนำไปทดสอบทดลองและสาธิตให้แก่หน่วยผู้ใช้และผู้บังคับบัญชาระดับสูงใน ทร. และได้นำเสนอเข้ารับพิจารณารับรองมาตรฐานงานวิจัยจากคณะกรรมการ กมย.ทร. ซึ่งก็ได้รับการรับรองมาตรฐาน กมย.ทร. ปี 2564 แต่มีข้อเสนอแนะว่า หากจะนำเข้าสู่สายการผลิตน่าจะต้องมีการพัฒนาปรับปรุงให้มีระยะเวลาการบินได้นานมากขึ้น อย่างน้อยเป็นเวลาประมาณ 2 ชม. นั่นจึงเป็นที่มาของโครงการต่อเนื่อง ซึ่ง ทร. ก็ได้เสนอขอรับการสนับสนุนทุนวิจัยจาก วช. ในการพัฒนาโครงการ MARCUS-B ซึ่งตามแนวทางนั้นหาก MARCUS-B สามารถบินได้นานขึ้นกว่า MARCUS แบบแรกก็จะสามารถเสนอเข้าสู่สายการผลิตได้เลย

นาวาเอก ภาณุพงศ ขุมสิน หัวหน้าคณะนักวิจัย ระบบอากาศยานไร้คนขับเพื่อการลาดตระเวนแบบที่ 2 MARCUS-B Maritime Aerial Recconnaisance Craft Unmanned System type-2 เผยว่า เราเป็นศูนย์นวัตกรรมทางเรือและทางทะเล กองทัพเรือ โดยผลงานของเราจะเป็นต้นแบบอากาศยานไร้คนขับ ซึ่งได้รับงบประมาณมาจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และขณะนี้เป็นรุ่นที่ 2 แล้ว หรือที่เรียกว่า “MARCUS-B” ในผลงานนี้กองทัพเรือจะนำไปพัฒนาต่อ ซึ่งเราได้งบประมาณเชิงบูรณาการจากทาง EEC เพื่อนำมาสนับสนุนการพัฒนาและวิจัย MARCUS-B ต่อ โดยวัตถุประสงค์ของศูนย์นวัตกรรมทางเรือและทางทะเล กองทัพเรือ จะนำผลงานการวิจัย MARCUS-B ที่ได้มีความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและภาคเอกชน นำไปผลิตเป็นต้นแบบในเชิงอุตสาหกรรม ซึ่งในแรกเริ่มจะมีการนำ MARCUS-B ที่พัฒนาไปใช้ในกิจกรรมของกองทัพเรือก่อน และในเบื้องต้นเราได้มีพัฒนาการวางแผนแล้วเพื่อผลิต ซึ่งในเบื้องต้นจะมีการนำไปใช้งานลาดตระเวนตามเกาะและบริเวณชายแดนของประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งถือว่ากองทัพเรือเป็นลูกค้ารายแรกของผลงานชิ้นนี้ นอกจากนี้เรายังมีการแผนพัฒนาเพื่อผลิตในเชิงพารณิชย์ต่อไป
ความท้าทายของการสร้าง MARCUS-B ขึ้นมานั้น ทีมงานต้องการเน้นให้ MARCUS-B มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง ต้องมีรูปร่างรูปทรงที่แตกต่างไปจาก UAV ที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป สมรรถนะด้านการเป็นอากาศยานไร้คนขับอาจไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับรูปทรงอื่น ๆ แต่ทีมงานต้องการสื่อสารให้เห็นถึงการออกแบบจากรูปทรงของนกนางนวล ที่มักพบได้ตามพื้นที่ชายทะเล สื่อให้เห็นถึงการเป็นอากาศยานแบบปีกนิ่งที่ถูกออกแบบมาเป็นการเฉพาะให้ขึ้นลงทางดิ่ง บินเกาะอากาศได้ในย่านความเร็วไม่สูงมาก รองรับลมกระโชกแรงที่เป็นสภาวะปกติตามแนวชายฝั่งและในทะเล แต่ที่สำคัญที่สุดคือต้องการแสดงให้เห็นว่าเป็นผลงานการออกแบบและการสร้างทั้งหมดทุกขั้นตอนภายในประเทศไทยโดยคนไทย
ส่วนประกอบหลัก ๆ ของ MARCUS-B ที่ยังต้องนำเข้าจากต่างประเทศนั้น ในตอนนี้น่าจะเป็นกลุ่มของเส้นใย Pre-Preg Carbon Fiber ที่ยังไม่มีแหล่งผลิตในประเทศไทย จะต้องสั่งนำเข้าจากประเทศอังกฤษ โดยต้องเก็บรักษาที่อุณหภูมิ -20 (ลบยี่สิบ) องศาเซลเซียสตลอดช่วงระยะเวลาการขนส่ง มอเตอร์และแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงกล้องตรวจการณ์และระบบการสื่อสารก็ยังเป็นข้อจำกัดเช่นเดียวกับผู้ผลิตรายอื่น ๆ ที่ยังต้องพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ และยังไม่คุ้มค่าต่อการสร้างสายการผลิตขึ้นเองภายในประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่ MARCUS-B จะเลือกใช้องค์ประกอบเหล่านี้จากประเทศจีนและประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคใกล้เคียง (แต่นั่นก็มิได้เป็นข้อจำกัด MARCUS-B ยังคงสามารถติดตั้งระบบและอุปกรณ์อื่น ๆ ได้จากแหล่งผลิตทั่วทุกมุมโลก) แต่ส่วนประอบอื่น ๆ เช่น ใบพัดหลัก ซึ่งในที่สุดทีมนักวิจัยก็สามารถหาแหล่งผลิตที่สามารถร่วมงานพัฒนากันได้จากภายในประเทศ การขึ้นรูปโครงสร้างทุกชิ้นส่วน แรงงานและฝีมือในการประกอบ การติดตั้ง การปรับตั้งค่าต่าง ๆ ล้วนมาจากฝีมือของคนไทย ภายในประเทศไทยทั้งสิ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ทีมงานตั้งใจและต้องการให้เป็นเช่นนั้นมาตลอด ที่ต้องการให้ MARCUS-B เป็นผลงาน Made in Thailand ด้วยฝีมือของคนไทยให้ได้มากที่สุด


