
กลุ่มบางจาก ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินคาร์บอนต่ำ เปิดตัวโรงงาน SAF แห่งแรกของไทย ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานสากล
กลุ่มบางจาก เดินหน้าอุตสาหกรรมการบินคาร์บอนต่ำ เปิดตัวโรงงานผลิตเชื้อเพลิงการบินยั่งยืนแห่งแรกของไทย ที่โรงกลั่นน้ำมันบางจากพระโขนง นับเป็นโรงงานผลิตเชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืนแห่งแรกของไทยที่ผลิตจากเชื้อเพลิง Neat 100% ดำเนินการโดย บริษัท บีเอสจีเอฟ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือกลุ่มบางจาก โดยหน่วยผลิตดังกล่าวเป็นไปตามมาตรฐานการรับรองระดับสากลที่เข้มงวด สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกลุ่มบริษัทฯ ในการพัฒนานวัตกรรมสีเขียว และการเปลี่ยนจากการเป็นผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียนมาเป็นผู้บุกเบิกโซลูชั่นส์พลังงานแห่งอนาคต
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โรงงานผลิตเชื้อเพลิงการบินยั่งยืนแห่งนี้เป็นหน่วยผลิตเชื้อเพลิง Neat แบบครบวงจรแห่งแรกของไทย โดยหน่วยผลิตนี้ดูแลห่วงโซ่คุณค่าทั้งหมด ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบและการแปรรูป ไปจนถึงการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ภายใต้โครงการรับรองความยั่งยืนและคาร์บอนระหว่างประเทศ (ISCC) โรงงานแห่งนี้มีกำลังการผลิตเริ่มต้น 1 ล้านลิตรต่อวัน โดยใช้เทคโนโลยี Hydroprocessed Esters and Fatty Acids (HEFA) ในการแปรรูปกรดไขมันหรือน้ำมันพืช เช่น น้ำมันปรุงอาหารใช้แล้วให้เป็น SAF คุณภาพสูง กระบวนการผลิตได้รับการพัฒนาโดยร่วมมือกับผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลก 2 ราย ได้แก่ Desmet จากเบลเยียม ซึ่งเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการเตรียมการล่วงหน้า และ UOP Honeywell จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกระบบไฮโดรโปรเซสซิง ความร่วมมือนี้ช่วยให้ควบคุมคุณภาพได้ในทุกขั้นตอน รวมถึงการจัดการวัตถุดิบ ไฮโดรจิเนชันการปรับโครงสร้างโมเลกุล และการแยกส่วน ส่งผลให้ได้ SAF ที่ตรงตามมาตรฐานเชื้อเพลิงการบิน ASTM โรงงานแห่งนี้ผลิต SAF บริสุทธิ์เป็นหลัก โดยมีส่วนผสมของไบโอแอลพีจีและไบโอแนฟทา และปัจจุบันกำลังอยู่ในระหว่างการทดสอบการทำงานของโรงงาน
ตามข้อมูลของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) และองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ภาคการบินปล่อย CO2 ประมาณ 492 ล้านตันต่อปี แม้ว่าจะคิดเป็นเพียง 2.9% ของการใช้พลังงานทั่วโลกก็ตาม ดังนั้น SAF จึงเป็นปัจจัยสำคัญในกลยุทธ์การลดการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก ซึ่งสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการบินได้ถึง 80% ซึ่งเป็นโซลูชั่นส์ที่มีประสิทธิภาพและคุ้มทุนมากกว่าเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีอื่นๆ ที่มีอยู่ หลายประเทศได้นำแนวทางการผสมผสาน SAF มาใช้ เช่น สหภาพยุโรป (2% ภายในปี 2568 และ 6% ภายในปี 2573) สหราชอาณาจักร (2% ภายในปี 2568 และ 10% ภายในปี 2573) และสิงคโปร์ (1% ภายในปี 2569 และ 5% ภายในปี 2573) ปัจจุบันประเทศไทยกำลังพิจารณานำแนวทางดังกล่าวมาใช้