
Sandbox แห่งใหม่ พื้นที่อีอีซีอุตสาหกรรมยุคดิจิทัล…แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคต
Sandbox แห่งใหม่ พื้นที่อีอีซีอุตสาหกรรมยุคดิจิทัล…แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคต
อีอีซี เป็นพื้นที่ที่สำคัญด้านยุทธศาสตร์หนึ่งในการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยในอนาคต ซึ่งสามารถเชื่อมโยงการค้าทั้งภูมิภาคเอเชียได้ โดยเราวิเคราะห์ได้จากเส้นทางการค้าจีนที่มี “One Belt One Road” ซึ่งกำหนดเส้นทางเศรษฐกิจไว้ 2 เส้นทาง ด้วยกันคือ เส้นแรกทางไปยุโรปตะวันออกและเส้นที่สองทางเชื่อมโยงมาทางตะวันออกเฉียงใต้:สามารถเชื่อมต่อมายังพื้นที่ในอีอีซีได้ ดร.ชิต เหล่าวัฒนา ที่ปรึกษาพิเศษด้านพัฒนาการศึกษา บุคลากร และเทคโนโลยี โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) กล่าวว่า “…..พื้นที่อีอีซีจึงเป็นพื้นที่ศูนย์กลางเชื่อมต่อเศรษฐกิจแบบระหว่าง กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม หรือ CLMV ได้เป็นอย่างดีประกอบกับประเทศไทยมีจุดแข็งอยู่ 2 ประการ ประการแรก คือมีระบบโลจิสติกส์ที่มีความแข็งแกร่งมาตั้งแต่อดีตซึ่งมีการพัฒนาเส้นทางภายในประเทศมากมายประการที่สองคือรัฐและเอกชนมีการพัฒนาลงทุนระบบพื้นฐานเทเลคอมท่อ/เสา/สายขึ้นมาก อีกทั้งยังมีการลงทุนด้าน 5G เป็นประเทศแรกในภูมิภาคอีกด้วย..”
“..อย่างไรก็ตาม จากอดีต 35 ปีก่อน โครงการอีสเทิร์นซีบอร์ดที่ไทยเราประสบความสำเร็จมาก มาถึงวันนี้เรายังไม่มีโครงการใหญ่ๆ เกิดขึ้นอีกเลย Eastern Economic Corridor (EEC) :โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี คือบทพิสูจน์ว่าไทยเราจักสามารถเร่งเครื่องจีดีพีก้าวพ้นกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ได้หรือไม่…”
ดร.ชิต ย้ำให้เห็นความมุ่งมั่นของอีอีซีที่จะพาประเทศไทย เดินหน้าเข้าสู่อนาคตอย่างมั่นคง ดร.ชิต เผยอีกว่า ได้เร่งส่งเสริม 10 กลุ่มอุตสาหกรรม โดยกลุ่มอุตสาหกรรมเดิมที่มีอยู่ได้มีการปรับให้มีความทันสมัยใหม่มากขึ้น เช่น อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ จะปรับให้เป็น Smart Electronics อุตสาหกรรมยานยนต์ จะเป็น Electric Vehicle หรืออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนการท่องเที่ยวอย่างเข้าใจสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่มีคุณค่ามากขึ้น ผมเองรับหน้าที่เกี่ยวข้องกับ 5 กลุ่มอุตสาหกรรมอนาคต คือ หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอากาศยาน และโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมดิจิทัล และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร พื้นที่อีอีซี ได้บริหารการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟความเร็วสูง สนามบินแห่งชาติแห่งที่สาม (อู่ตะเภา) ท่าเรือและทางหลวง มาตรฐานนานาชาติ ประมาณ 1.7 ล้านล้านบาท แม้ว่าประเทศไทยจะประสบสถานการณ์โควิด-19 แต่คณะกรรมการอีอีซี ที่มีท่านนายกฯ เป็นประธาน ก็สามารถผลักดันได้ตามแผนที่วางไว้ ซึ่งในปีนี้อีอีซีจะโฟกัส เร่งระดมเชิญชวนนักลงทุนเพื่อผลักดันให้จีดีพีของประเทศเพิ่มสูงขึ้นดังกล่าวข้างต้น
10 อุตสาหกรรม + 2 อุตสาหกรรมเพิ่มเติม…ดันการลงทุนขยายตัว
ปีนี้การค้าการลงทุนเริ่มมีการขยายตัวมากขึ้นในเขตพื้นที่อีอีซีนอกจากนี้ได้มีการสนับสนุนเพิ่มเติมอุตสาหกรรมอีก 2 อุตสาหกรรม คือ อุตสาหกรรมการศึกษา และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ โดยโครงสร้างพื้นฐานที่ได้มีการลงทุนก่อนแล้วเป็นอุตสาหกรรมดิจิทัล ซึ่ง ในปี พ.ศ. 2563 กสทช ได้จัดการประมูล 5G ไว้ 3 Spectrums คือ 700 MHz 2600 MHz และ 26 GHz โดยเฉพาะคลื่นความถี่ 2600 MHz ผู้ที่ได้รับใบอนุญาตได้รับข้อกำหนดว่าต้องลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่อีอีซีครึ่งหนึ่งของการลงทุน ปัจจุบันมีการสำรวจแล้วพบว่าบริษัทเอกชน AIS และ True มีการลงทุนไปแล้ว 100% ในพื้นที่อีอีซี ถือว่าไทยเราเริ่มต้นก่อนใครในกลุ่มประเทศ CLMV รวมถึงสิงคโปร์ที่ยังไม่มีการประกาศใช้คลื่น 5G อย่างเป็นทางการ ดังนั้นการลงทุนทางระบบดิจิทัลได้เกิดขึ้นแล้วในพื้นที่อีอีซี ซึ่งจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับการพัฒนาอุตสาหกรรม 4.0 ที่มีความจำเป็นต้องมีระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านนี้รองรับ เพราะคุณสมบัติของ 5G ที่โดดเด่นคือ มีความเร็วในการรับส่งข้อมูล คลื่นสัญญาณให้ความหน่วงน้อยและเสถียร รวมถึงสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์เช่นระบบเซ็นเซอร์ไอโอทีได้มากกว่าหนึ่งล้านตัวในพื้นที่หนึ่งตารางกิโลเมตร เป็นต้น ฉะนั้นโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลนี้แหละคือปัจจัยตั้งต้นของการลงทุนเกือบทุกอุตสาหกรรมในพื้นที่อีอีซีแห่งนี้
คน-บุคลากร ถือเป็นเรื่องที่สำคัญประการหนึ่งที่ภาคอุตสาหกรรมที่มาลงทุนต้องการเป็นอันดับต้นๆ ทางอีอีซีมีการวางแผนร่วมกับสถาบันการศึกษา และภาคอุตสาหกรรม ในการสร้างบุคลากรป้อน 10 อุตสาหกรรม S-curve ภายใน 5 ปีข้างหน้านี้ ซึ่งจะต้องผลิตบุคลากรให้ได้กว่า 457,000 คน โดยบุคลากรครึ่งหนึ่งจะอยู่ในกลุ่มงานสร้างโครงสร้างพื้นฐาน และอีกครึ่งหนึ่งจะอยู่ในอุตสาหกรรม S-curve หากแบ่งเป็นวุฒิการศึกษาครึ่งหนึ่งเป็น ปวช. ปวส. อีกครึ่งหนึ่งเป็นปริญญาตรีและปริญญาโท หากลงรายละเอียด พบว่าในกลุ่มอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และดิจิทัลแมนูแฟคเจอริ่งต้องการบุคลากรถึง 40,000 คน ภายใน 5 ปีข้างหน้า สำหรับในส่วนของอัตราบุคลากรทางด้านดิจิทัลจากที่วางไว้ 200,000 กว่าคน จากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้เกิดดิจิทัลแพลตฟอร์มต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย จึงทำให้เกิดความต้องการเพิ่มมากขึ้น จึงได้ปรับมาเป็น 270,000 คน เพื่อรองรับอุตสากรรมดาต้าเซ็นเตอร์ที่เข้ามาลงทุนร่วมกับตัวแพลตฟอร์มต่างๆ ก็จะเกิดเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
Digital Transformation Technology กับการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมในพื้นที่อีอีซี
ดร.ชิต มองว่า Digital Transformation Technology เป็นตัวเร่งในซัพพลายเชนของอุตสาหกรรม 4.0 หากผู้ประกอบการรายใดไม่นำเรื่องดังกล่าวเข้ามาใช้ในโรงงานถือว่าจะตามไม่ทันอุตสาหกรรมการผลิตที่เป็นดิจิทัล ซึ่งการเปลี่ยนอุตสาหกรรม 4.0 จะมีปัจจัยสำคัญอยู่ 3 ข้อด้วยกัน คือข้อแรก การ Automate ระบบการผลิต ที่เดิมอาจเป็นระบบ SCADA จะต้องเปลี่ยนเป็นไอโอทีไร้สายมากขึ้น เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน และมีทำงานติดต่อผ่านระบบ 5G ลำดับที่ 2 ระบบการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analystics) อาทิ ระบบ ERP และระบบการวิเคราะห์ต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง และลำดับบนสุดคือการใช้ความถี่ 26 GHz ในการเชื่อมต่อซัพพลายเชน ดังนั้นหากโรงงานใดไม่ทำ Digital Transformation ในซัพพลายเชนโรงงานนั้นอาจไม่ทันกับการแข่งขัน เพราะซัพพลายเชนดังกล่าวไม่ได้อยู่ภายในประเทศไทยเพียงอย่างเดียว อาจจะอยู่ในต่างประเทศด้วย ฉะนั้นเราต้องเป็นส่วนหนึ่งของดิจิทัลซัพพลายเชน อีกประเด็นที่น่าสนใจคือถ้ามองในแง่ของต้นทุนการผลิต จากข้อมูล การใช้ Digital Manufacturing ของประเทศจีนและญี่ปุ่นพบว่าสามารถลดต้นทุนได้ถึง 38% ดังนั้นถือว่าเป็นเงื่อนไขการลดต้นทุนรวม ผ่านการใช้งาน Digital Transformation Technology พร้อมๆ กันนั้น ก็จะนำโรงงานไปอยู่ซัพพลายเชนโลกด้วย ในพื้นที่อีอีซีที่มีโรงงานกว่า 9,800 โรงงาน ซึ่งในปีนี้อีอีซีได้วางแผนร่วมกับบีโอไอสนับสนุนให้ 200 โรงงาน เข้าสู่ระบบ Smart Industry 4.0 และ 5G แล้ว ซึ่งอีอีซีจะดำเนินการเพิ่มเติมให้ได้ถึง 80-90% ของโรงงานที่เหลืออยู่ภายใน 3 ปีข้างหน้า
“สำหรับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องการลงทุนใช้งาน Digital Manufacturing อีอีซีกำลังปรึกษาหารือร่วมกับบีโอไอในการลดหย่อนภาษีให้ การได้รับความช่วยเหลือจากบีโอไอเป็นผู้ออกหลักเกณฑ์นี้สำคัญยิ่ง เพราะเราจะใช้เป็นเกณฑ์เดียวกันสำหรับลดหย่อนภาษีให้กับอุตสาหกรรมทั่วประเทศไทยได้แม้อยู่นอกพื้นที่อีอีซี หากมี Spectrum 5G ไปถึง จึงเกิดประโยชน์ในวงกว้างทุกๆ อุตสาหกรรมทั่วประเทศไทยด้วยครับ” ดร.ชิต กล่าว
บุคลากรต้องพร้อมใช้งาน
ดร.ชิต กล่าวต่อในฐานะที่ดูแลเรื่องการพัฒนาบุคลากรว่า ประเทศไทยมีอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเก่งๆ มากมาย แต่ตัวเลขที่พบใน 3-4 ปี ที่ผ่านมา พบว่านักศึกษาเหล่านั้นตกงาน เพราะหลักสูตรบางอย่างไม่ตรงกับสายงานของอุตสาหกรรมที่ต้องการ จึงได้มีการปรึกษาระดมความคิดกับนักวิชาการต่างๆ และพบว่ามหาวิทยาลัยกับโรงงานไม่ได้มีการเสวนา/ติดต่อปรึกษาความต้องการระหว่างกันเลย ดังนั้นทางอีอีซีจึงประสานให้โรงงานระบุถึงความต้องการบุคลากรที่ต้องการใช้งานจริง โดยท่านเลขาธิการอีอีซี: ดร.คณิศ แสงสุพรรณ ได้มีบัญชาให้ใช้ความต้องการของโรงงานเป็นที่ตั้ง เป็นจุดตั้งต้นสู่แนวคิดหลักที่นำมาซึ่งระบบ “Demand Driven Training” ในการอนุมัติหลักสูตรจะให้โรงงานเสนอความต้องการและมหาวิทยาลัยรับทราบนำไปปรับหลักสูตรถึงความต้องการนั้นแล้วนำไปผลิตบุคลากรเพื่อให้ตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมอีอีซีได้กำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจนถึงความต้องการในภาคอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง
การพัฒนาบุคลากรมีองค์ประกอบหลายด้าน 1.ต้องทราบว่าสถานประกอบการหรือโรงงานต้องการบุคลากรประเภทใด 2.การเพิ่มทักษะทางเทคโนโลยี (Up Skill) จำเป็นต้องเพิ่มทักษะบุคลากรให้เข้าไปสู่ความเชี่ยวชาญที่สูงขึ้น 3.การเพิ่มทักษะจากอุตสาหกรรมเดิมไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ (Re Skill) เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ ที่เปลี่ยนเป็นรถยนต์ EV ซึ่งพาร์ทบางส่วนหายไปกว่าครึ่ง ฉะนั้นจึงทำให้บุคลากรเหล่านั้นหายไปด้วย ดังนั้นจึงต้องเพิ่มทักษะบุคลากรเหล่านั้นไปสู่อุตสาหกรรมอื่น เช่น ชิ้นส่วนอากาศยาน เป็นต้น 4.การเพิ่มทักษะใหม่ (New Skill) อีอีซีได้เชิญนักลงทุนด้านไอทีที่เป็นบริษัทข้ามชาติใหญ่ๆ เช่น บริษัท หัวเว่ย HP VMware Cisco Mavenir เป็นต้น เข้ามาลงทุน/สนับสนุนด้าน Digital Transformation ดังกล่าวในพื้นที่อีอีซี และชักชวนร่วมกันจัดตั้งศูนย์พัฒนาบุคลากรสำหรับเทคโนโลยีใหม่ อาทิ ด้านดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ Cloud Technology, Blockchain ฯลฯ เพราะในมหาวิทยาลัยไทยในปัจจุบันนั้น มีทักษะเรื่อง Digital Technology ในเชิงอุตสาหกรรมประยุกต์ที่ไม่สูงมากนัก จึงอาจจำเป็นต้องพึ่งพาบริษัทและบุคลากรต่างชาติอยู่ ทางอีอีซีได้จัด Ecosystem ให้บุคลากรทำงานร่วมกันทุกภาคส่วนเพื่อให้เกิด Technology Transfer สู่ระบบการศึกษาไทย