
ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมและการลงทุนไทย-รัฐสุลต่านโอมาน
นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้ นายอิสซา อับดุลเลาะฮ์ ญาบิร อัลอาลาวี (H.E. Mr. Issa Abdullah Jaber Al-Alawi) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งรัฐสุลต่านโอมานประจำประเทศไทย และคณะ เข้าพบ โดยมี นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม นางศิริเพ็ญ เกียรติเฟื่องฟู รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม นางสาวนลินี กาญจนามัย รองผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เข้าร่วม ณ ห้องรับรอง 1 สำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
โดยการเข้าเยี่ยมคารวะ ของเอกอัครราชทูตฯ ในครั้งนี้ เพื่อเป็นการแนะนำตัวในโอกาส เข้ารับหน้าที่เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งรัฐสุลต่านโอมานประจำประเทศไทย พร้อมแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสเข้ารับตำแหน่งของ รัฐมนตรีฯ รวมถึงหารือความสัมพันธ์ทวิภาคี เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมและการลงทุนระหว่างราชอาณาจักรไทย-รัฐสุลต่านโอมาน โดยในปี 2567 ทั้งสองฝ่ายครบรอบการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในระยะ 44 ปี
รัฐมนตรีฯ พิมพ์ภัทรา กล่าวถึงข้อหารือ ในครั้งนี้ว่า ด้านการลงทุน รัฐสุลต่านโอมาน มีความมั่นคงด้านพลังงาน มีนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศในด้านพลังงานหมุนเวียน (renewable energy) โดยเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกน้ำมันดิบรายใหญ่ที่สุดให้กับไทย รวมถึงภาคธุรกิจไทย ได้เข้าไปลงทุนด้านการสำรวจและขุดเจาะพลังงานในรัฐสุลต่านโอมาน ทั้งนี้ รัฐสุลต่านโอมาน มีเป้าหมายบรรลุความมั่นคงทางอาหาร และไทย เป็นประเทศที่มีศักยภาพในการสร้างความมั่นคงด้านอาหาร ซึ่งสามารถพัฒนาสร้างความร่วมมือระหว่างกันได้ จึงเห็นควรขอรับการสนับสนุนและการอำนวยความสะดวก ให้กับนักธุรกิจไทยสำหรับการเข้าไปลงทุนหรือร่วมลงทุนในรัฐสุลต่านโอมาน ทั้งภาคอุตสาหกรรมการผลิต และธุรกิจบริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าและบริการของไทย ที่เป็นที่ต้องการได้แก่ ข้าว อาหารกระป๋องและแปรรูป ผลไม้ สดและแปรรูป ยานยนต์และส่วนประกอบ บริการสุขภาพโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ฮาลาล รวมถึงสาขาการท่องเที่ยวและการบริการ
นอกจากนี้ ในด้านความร่วมมือภาคอุตสาหกรรม รัฐสุลต่านโอมาน ได้จัดทำแผนการพัฒนาเศรษฐกิจรายสาขาในภาคการผลิต (Manufacturing) โดยการจัดทำยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมปี 2021-2040 เพื่อพัฒนาสาขาอุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่มต่อเศรษฐกิจของประเทศ ได้แก่ เคมีภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากโลหะพื้นฐาน พลาสติก ยางและผลิตภัณฑ์ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ในขณะที่ไทยมีนโยบายการพัฒนาสาขาอุตสาหกรรมดังกล่าว ในลักษณะเดียวกัน ทั้งนี้ ไทยสามารถใช้ประโยชน์ โดยนำมาเป็นแนวทางการพัฒนาความร่วมมือด้านอุตสาหกรรม ระหว่างกันเพื่อนำไปสู่การขยายความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม การค้า และการลงทุนต่อไปในอนาคต