สภานโยบาย เดินหน้าส่งเสริมระบบนิเวศนวัตกรรม ดันการร่วมลงทุนรัฐ-เอกชนโดยกลไก Holding Company ปลดล็อกการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อการวิจัยและพัฒนา

 

 

สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ในฐานะเลขานุการและดูแลงานวิชาการสภานโยบาย จัดการประชุมสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2563 ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล โดยมี นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานที่ประชุม พร้อมด้วย ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ทำหน้าที่รองประธานที่ประชุม

 

นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เป็นครั้งแรกของตนที่มาทำหน้าที่ประธานสภานโยบาย ซึ่งถือเป็นเวทีสำคัญในการนำการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมมาขับเคลื่อนประเทศ หลากหลายประเด็นที่เสนอให้ที่ประชุมพิจารณาในครั้งนี้ เป็นเครื่องมือที่จะช่วยปลดล็อกอุปสรรคด้านการสร้างนวัตกรรม ส่งเสริมให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรมของประเทศ ซึ่งจะมีการเร่งขับเคลื่อนต่อไป นอกจากนี้ ยังมีการฝากให้ที่ประชุมร่วมกันค้นหาโอกาสทองของประเทศในวิกฤติโควิด-19 ที่อยากได้ไอเดียของทุกฝ่ายมาช่วยเป็นสปริงบอร์ดให้กับประเทศ โดยได้มอบหมายให้คณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ไปช่วยรวบรวมมาเสนอสภานโยบาย และอีกหนึ่งประเด็นที่อยากให้ช่วยกันคิดคือ การวิจัยเกี่ยวกับเรื่องการเรียนการสอน ทำอย่างไรที่จะฟูมฟักให้เด็กไทยมีทั้งความรู้ควบคู่ไปกับการปลูกฝังจิตสำนึก ให้เขามีภูมิคุ้มกันทางสังคม มีความฉลาดทางอารมณ์ ไม่ใช่แค่เก่งความรู้ แต่ต้องเก่งรอบ 360 องศา

 

ด้าน ดร. กิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการ สอวช. เปิดเผยในฐานะผู้ช่วยเลขานุการสภานโยบายว่า ที่ประชุมได้มีการหารือและมีมติเห็นชอบในหลักการของหลายประเด็นที่น่าสนใจ หนึ่งในนั้นคือ การส่งเสริมการร่วมลงทุนรัฐและเอกชนในธุรกิจนวัตกรรม โดยกลไก Holding Company เพื่อต่อยอดงานวิจัยและสร้างนวัตกรรมเพื่อการนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ ซึ่งจะก่อให้เกิดการสร้างรายได้และการจ้างงานเพิ่มมากขึ้นในระบบวิจัยและนวัตกรรม ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม อีกทั้งมหาวิทยาลัยผู้สร้างผลงานวิจัยและนวัตกรรมจะได้รับรายได้กลับคืนมาเข้าสู่หน่วยงานสำหรับสร้างสรรค์งานวิจัยและนวัตกรรมได้ต่อไป รวมถึงนักวิจัยจะได้รับส่วนแบ่งรายได้ซึ่งเป็นการสร้างแรงจูงใจให้เกิดการสร้างนวัตกรรมเพิ่มขึ้น โดยการร่วมลงทุนระหว่างมหาวิทยาลัย/สถาบันวิจัยและภาคเอกชนในธุรกิจนวัตกรรมโดยกลไก Holding Company เป็นรูปแบบที่หน่วยงานของรัฐและมหาวิทยาลัยชั้นนำในต่างประเทศนำมาใช้เพื่อผลักดันงานวิจัยและนวัตกรรมสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลสูง โดยการจัดตั้งและการดำเนินงานของ Holding Company มีสถานะเป็นนิติบุคคลแยกออกมาจากหน่วยงานวิจัยของรัฐหรือมหาวิทยาลัยโดยมีการบริหารงานแบบมืออาชีพ เป็นการช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนของหน่วยงานของรัฐและมหาวิทยาลัย และมีความคล่องตัวสูงเหมาะกับการดำเนินธุรกิจนวัตกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างให้เกิดแรงจูงใจแก่นักวิจัยให้เห็นถึงช่องทางในการสร้างธุรกิจนวัตกรรมจากผลงานวิจัยที่คิดค้นทำให้เกิดการพัฒนาผลงานวิจัยที่มีมูลค่าเชิงพาณิชย์ และส่งผลกระทบเชิงเศรษฐกิจทั้งในระดับหน่วยงานและในระดับประเทศได้

 

“ข้อจำกัดของการร่วมลงทุนของสถาบันอุดมศึกษา สถาบันวิจัยกับภาคเอกชน ผ่านกลไก Holding Company ของไทยคือ ยังขาดความเข้าใจเรื่องการจัดตั้งและสถานภาพของ Holding Company ขาดความชำนาญและความสามารถในการดำเนินธุรกิจนวัตกรรมของบุคลากรมืออาชีพ ขาดแรงจูงใจของนักวิจัยในการ Spin-off รวมถึงข้อจำกัดด้านงบประมาณที่มีจำกัดในการลงทุน หรือมีงบประมาณแต่ยังขาดกลไกหรือมีข้อจำกัดทางกฎระเบียบภายในในการร่วมลงทุน สอวช. จึงได้มีการหารือร่วมกับมหาวิทยาลัยหลายแห่งและได้จัดทำหลักการของชุดมาตรการส่งเสริมการร่วมลงทุนรัฐและเอกชนโดยกลไก Holding Company ขึ้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจร่วมกันถึงอำนาจหน้าที่ การบังคับใช้กฎหมายในกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการร่วมลงทุน การส่งเสริมการสร้างและพัฒนาบุคลากรด้านธุรกิจนวัตกรรมมืออาชีพ ตลอดจนมาตรการสร้างแรงจูงใจให้นักวิจัย บุคลากรในมหาวิทยาลัยออกไปดำเนินธุรกิจนวัตกรรม เช่น ให้สิทธิกลับมาดำรงตำแหน่งในหน่วยงานเดิมได้หากธุรกิจไม่ประสบความสำเร็จ และการส่งเสริมด้านเงินทุนเพื่อไปร่วมลงทุนในธุรกิจนวัตกรรม เป็นต้น ซึ่งข้อเสนอมาตรการข้างต้นนี้จะช่วยให้มหาวิทยาลัยขับเคลื่อนการดำเนินงานได้อย่างคล่องตัว ผู้บริหารหน่วยงานสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความโปร่งใส ซึ่งจะส่งผลให้การร่วมลงทุนกับภาคเอกชนเกิดประสิทธิผล และสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่มหาวิทยาลัย บริษัทเอกชนที่อยู่ในห่วงโซ่มูลค่า และเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวมได้” ดร. กิติพงค์ กล่าว

#FOLLOW US ON INSTAGRAM